ที่ภูกระดึงเปิดให้เข้าเที่ยวชมเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษาคมเท่านั้น แค่ 7 เดือนนี้ เราก็ได้เห็นภูกระดึงครบทั้ง 3 ฤดูแล้วครับ ช่วง ตค.-พย ยังอยู่ในช่วงหน้าฝน เดือน ธันวา-มกราจะเริ่มเข้าหน้าหนาวเดินง่ายไม่ค่อยมีทาก อากาศหนาวมาก คนค่อนข้างเยอะส่วนใหญ่ไปดูใบเมเปิ้ลสีแดงๆ หลังกุมพาจะเริ่มเข้าหน้าร้อนใบไม้เปลี่ยนสีทางเดินจะแห้งๆ ใบไม้สีทองแต่อากาศยังเย็นๆ อยู่เมื่อหมดแดด ซึ่งในครั้งนี้ผมจะมาเล่าถึงการไปภูกระดึงในหน้าฝน ที่ว่ากันว่าเดินยากสุด โหดสุด เต็มไปด้วยทาก แต่ก็แรกมากับอะไรบางอย่างจะเป็นอย่างไรไปดูกันครับ
ร่างกาย
แน่นอนการเดินทางขึ้นภูกระดึงต้องเดินเท้าเท่านั้นด้วยความสูงกว่า 1200 เมตร ในวันแรกต้องเดินขั้นต่ำ 9 กม.กว่าจะถึงบ้านพัก/ลานกางเต็นท์ ถามว่าจำเป็นต้องออกกำลังกายก่อนไปไหม จริงๆก็ไม่ มีหลายคนที่จู่ๆ เพื่อนก็ลากตัวไปโดยที่ไม่ทันเตรียมตัว ก็เดินพรวดๆ ถึงยอดภูได้ แต่ถ้าออกกำลังกายไปก่อนก็ดีหลายคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย( สังเกตุได้จากเพื่อนในกลุ่มที่ร่วมเดินทางไปด้วย ) มีสิทธิ์ไปเป็นตระคริวกลางทาง ปวดขา ปวดแข้ง เมื่อเดินถึงลานกางเต้นท์ ทำให้เที่ยวต่อไม่สนุก อย่างน้อยก็ squat อยู่บ้านขำๆล่วงหน้าซักเดือนก็ยังดี ส่วนตัวผมลองแล้ว squat ช่วยได้จริงๆ ไม่มีอาการปวดเมื่อยใดๆ เมื่อเดินถึงลานกางเต้นท์ในวันแรก

สิ่งของ
หลายคนบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเงินนเตรียมไปเยอะๆ ข้างบนมีขายทุกอย่าง ไปตัวเปล่ายังได้เลย แต่สำหรับผมมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือรองเท้าครับ แน่นอนการเดินทางขึ้นภูมีแต่เดินกับเดิน ถ้าคุณเลือกรองเท้าไม่ดีพื้นบางไปพื้นหนักไป คุณจะเป็นทุกข์ในทุกๆก้าวที่คุณเดินแน่ๆ มีหลายคนโดนรองเท้ากัดจนเล็บหลุด ถลอกปลอกเปิด หลายคนถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าเพราะทนการเสียดสีไม่ไหว ส่วนตัวผมแนะนำว่าควรมี 2 คู่ รองเท้าหุ้มส้นสำหรับเดินขึ้น-ลง รองเท้าลำลองสบายๆ สำหรับเดินบนภู รองเท้าสำหรับตอนขึ้น-ลงภู ควรเป็นรองเท้าที่ใส่สบายที่สุดพื้นควรหนา มีน้ำหนักเบา ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว-หน้าร้อนใส่รองเท้าวิ่งไปเลยครับเดินสบายๆนุ่มๆ แต่ถ้าเป็นช่วงเปิดภูใหม่ๆในหน้าฝน รองเท้าวิ่งเอาไม่อยู่ ทางเดินมันโครตตลื่นครับ แนะนำเป็นรองเท้าเดินป่าหุ้มข้อหรือสตั๊ดดอยจะเดินได้มั่นใจกว่าครับ

การป้องกันทากถ้าไปช่วงเปิดภูใหม่ๆ หรือช่วงฤดูฝน เลี่ยงทากไม่ได้แน่ๆ ยังไงก็เจอ ถ้า Search วิธีกันทากภูกระดึงจะมีหลายสูตรมาก บ้างก็บอกว่าใช้ถุงกันทาก บ้างก็บอกใช้ยาสูบ น้ำมันมวยบ้าง ปูนขาวบ้างส่วนตัวผมไปเดินภูหน้าฝนมา 5-6 ครั้ง ลองมาหมดแล้วโดนกัดมาแล้ววิธีที่กันได้ดีที่สุดสำหรับผมคือ ซอฟเฟลสีชมพู ฉีดชุ่มๆที่รองเท้า และขากางเกง กันทากได้ค่อนข้างดีผมไม่โดนเกาะเลยซักกะตัว ส่วนปูนขาวเป็นอะไรที่เสียดายเงินมากๆ คนส่วนใหญ่นิยมซื้อมาโรยรอบเต้นท์ ผมเองก็ลองแล้วก็ได้เห็นเจ้าทากมันดึ้บๆผ่านปูนขาวเหมือนทากชุปแป้งทอด โดยไม่เป็นอะไรเลยยังดึ๊บๆ มาเกาะขาผมได้อีกน่ะ
อย่างอื่นที่แนะนำว่าควรติดตัวไป ไฟฉาย, ยาคลายกล้ามเนื้อ สำหรับมือใหม่หัดเดินไม้เท้าเดินป่านี่ก็สำคัญช่วยเซฟหัวเข่ากันลื่นได้ จริงๆก่อนขึ้นภูทางเจ้าหน้าที่ก็มีไม้ไผ่เตรียมให้นะครับ แต่ส่วนตัวผมว่ามันใช้งานลำบาก มันหนักเป็นภาระ เจ็บมืออีก ไม้เท้าดีๆ สมัยนี้ขายกันสองสามร้อยเอง (แนะนำของ Decathlonครับ)

ออกเดินทาง
การเดินทางมาภูกระดึงก็แล้วแต่สะดวก บางคนนั่งเครื่องบินมาลงขอนแก่น บางคนถนัดขับรถมาเอง(มีที่จอดเยอะ) บางคนรวมตัวกันเหมารถตู้มา แต่สำหรับผมแนะนำรถทัวร์นี่ละครับ สบายที่สุด นอนบนรถยาวๆ ตื่นมาก็เช้ามืดพร้อมเดินขึ้นภูพอดี รถทัวร์ส่วนใหญ่จะออกจากหมอชิตช่วงหัวค่ำ ถึงจุดจอดผานกเค้า(ร้านเจ๊กิม) ประมาณ เช้ามืด ค่ารถทัวร์ 300กว่าบาท จนถึง 6-700 แล้วแต่คลาสของรถ ลงรถที่ผานกเค้า แล้วต่อสองแถวแดงคนล่ะ 30 บาท ต้องรอจนครบ 10 คนรถถึงออก ( ช่วงโควิดคนละ 50 บาทเพราะต้องเว้นระยะห่างรถขึ้นได้แค่ 6คนต่อคัน ) หรือใครวัยรุ่นใจร้อนจะเหมายกคัน 300 ให้ไปส่งที่อุทยานก็ได้ครับ



ที่ทำการอุทยาน
เมื่อเดินทางเข้ามาในอุทยานผ่านรถสองแถวแดง รถสองแถวจะจอดให้เราได้ชำระค่าธรรมเนียมอุทยานที่ทางเข้าคนละ 40 บาท (ต้องเก็บตั๋วดีๆนะครับ เพราะเดี๋ยวเราต้องแสดงตั๋วนี้อีกที ที่ทางขึ้นภู ) เสร็จแล้วรถจะมาจอดที่ทำการ นักท่องเที่ยวต้องมาติดต่อและชำระเงินค่าที่พักบริเวณนี้ครับ ถ้ามานอนเต้นท์วันธรรมดาไม่จำเป็นต้องจองครับ เดินเข้ามาติดต่อจ่ายตังค์ได้เลย แต่ถ้ามาวันหยุดยาว หรือเทศกาลควรจองนิดนึง ผ่านหน้าเว็บ หรือแอพQuqQ ก็แล้วแต่สะดวกครับ
สมัยก่อนคนนิยมนั่งรถทัวร์มาลงที่ร้านเจ๊กิมแล้วกินข้าวอาบน้ำที่ร้าน แล้วค่อยขึ้นรถสองแถวไปอุทยาน แต่ผมแนะนำว่าลงรถทัวร์แล้ว ให้ขึ้นรถสองแถวมาอาบน้ำที่อุทยานเลยจะดีกว่าครับ ห้องน้ำที่อุทยานสะอาดมากกกกก มีหลายจุด มีร้านอาหารให้เลือกเยอะ


กรณีนำเต้นท์มาเอง ค่าพื้นที่กางเต็นท์ 30 บาท/คืน/คน
กรณีเช่าเต้นท์ของอุทยาน 225 บาท ต่อคืน (นอนได้ 2-3 คน)
ค่าประกันคนล่ะ 10 บาท (ไม่บังคับ)
ค่าเช่าหมอน/ถุงนอน/ที่รองนอน ไม่แพงครับประมาณ 10-30 บาท ต่อคืน
ค่าลูกหาบของ กิโลล่ะ 30 บาท
บนภูมีบ้านพักด้วยนะครับ หลายหลังเลย แต่ส่วนตัวผมจองไม่เคยทันซักกะทีพอจะไปทีไรเต็มตลอด ส่วนใหญ่ว่างแต่วันธรรมดา

เริ่มเดินขึ้น
ภูกระดึงเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นแค่ช่วงเวลา 8.00-14.00 น. แต่บางครั้งผมมาตั้งแต่ 7 โมงเค้าก็ให้ขึ้นได้แล้วน่ะเห็นบางคนมาหลัง 14.00 บางทีก็ให้ขึ้น คิดว่าจนท. เค้าคงดูตามความเหมาะสม ตามสถาณการณ์ ตรงซุ้มทางเข้าจะมี จนท.คอยตรวจตั๋วค่าผ่านประตูของอุทยานที่รถสองแถวแวะจอดให้พวกเราซื้อ ใครทำหายต้องซื้อใหม่ 40 บาท
ตรงจุดนี้เราต้องลงชื่อในสมุดบันทึกด้วยครับ ว่ามากี่คน ชื่ออะไร พักกี่คน บ้านอยู่ไหน ตรงขั้นตอนนี้ถ้ามาสายจะค่อนข้างเสียเวลา เพราะสมุดมีเล่มเดียว คนต่อคิวเขียนกันยาวเลย แนะนำให้ขึ้นเช้าๆดีที่สุดครับ ส่วนระยะทางและที่พักร้านอาหารตามซำต่างๆ ตามรูปด้านล่าง

รวมๆ เราต้องเดินในทางชันประมาณ 5.5 กิโลจนถึงหลังแป และเดินทางเรียบๆ จากหลังแปไปจุดที่พักประมาณ 3.5 กิโล รวมวันแรกต้องเดินแน่ๆ 9 กิโล ถ้าฟิตๆหน่อยก็เดินชิวๆ ประมาณ3 ชม.ครับ แต่บางคนลากไป6-7 ชม.ก็มีนั่นละฮ่ะ



หลังแป
เมื่อผ่านเจ้าบันไดมรณะขึ้นมาจะเจอป้ายที่เราคุ้นตา ผมว่าน่าจะทุกคนต้องมาถ่ายรูปกับป้ายนี้ ขนาดส่วนตัวผมที่คิดว่ามันเกร่อมากๆ ก็ยังอดที่จะถ่ายคู่กับป้ายไม่ได้ป้ายนี้มันเลยทำหน้าที่เหมือนใบ certificate ไปโดยอัตโนมัติตรงจุดป้ายนี้จะมีร้านค้า จนท.เล็กๆ ใว้ขายน้ำบริการนักท่องเที่ยว
มีม้านั่งยาวๆ ที่แสนจะธรรมดา แต่พอได้นั่งหลังจากเดินมา 5กิโลกว่าๆแล้ว ความรู้สึกมันสบายเหมือนนอนบนโซฟาแพงๆกันเลยทีเดียว ซึ่งจากหลังแปนี้เราต้องเดินไปบนทางเรียบๆ นุ่มๆ บนดินทราย ที่เต็มไปด้วยใบสนอีกราวๆ 3.5 กิโลเมตร เป็นทางตรงดิ่ง ที่ไม่มีร้านค้า ไม่มีจุดพักไม่มีห้องน้ำ ไม่มีไรเลยนอกจากวิวสวยๆข้างทาง

ศูนย์บริการวังกวาง
หลังจากเดินมากันกว่า 9 กิโล จะพบกับศูนย์บริการวังกวาง ที่นี่เหมือนเป็นโอเอซิสบนภูกระดึง มีแทบจะทุกอย่างจริงๆ ร้านค้าเยอะ ห้องน้ำเยอะ ลานกางเต้นท์กว้างขวางเมื่อมาถึง คนที่ต้องการจะเช่าที่นอนหมอนผ้าห่มให้มาเช่าตรงศูนย์บริการ+จ่ายเงินตรงนี้เลยครับ ถ้าเป็นช่วงวันหยุดยาวแนะนำให้ติดต่อเช่าทันทีเลยเมื่อมาถึงกันของขาด ในจุดนี้จะมีบริการชาร์ตแบตอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยนะครับ ค่าบริการ 20-40 บาท

เมื่อเดินถึงศูนย์บริการวังกวางและลานกางเต้นท์แล้ว สำหรับคนที่นำเต้นท์มาเองแบบผม แนะนำให้รีบหาที่กางเลยครับ ลานกางเต้นท์กว้างใหญ่ก็จริง แต่จุดที่เหมาะสมกับการกางจริงๆมีน้อยมาก ส่วนใหญ่พื้นจะเป็นแอ่ง มีน้ำขัง พื้นไม่เรียบ ถ้าฝนตกมาไม่อยากจะคิด ซึ่งมาในเดือนตุลายังไงก็เจอฝนแน่ๆ มีหวังได้นอนในน้ำ และแน่นอนถ้ามาช่วงหน้าฝน พื้นที่กางเต้นท์จะเต็มไปด้วยน้องทากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้เลี่ยงส่วนที่เป็นพื้นหญ้าแฉะๆ พยายามหาพื้นดินเรียบๆ ส่วนตัวผมก็ไม่รอด กางเต็นท์เสร็จต้องรีบมุดเข้าเต้นท์ นอนดูน้องทากไต่บนหลังคาเต้นท์อย่างเพลิดเพลิน

สำหรับกิจกรรมในวันแรกเมื่อมาถึงวังกวาง นอกจากตะเวนเดินหาของกินแล้ว ถ้าเดินไหวอยากจะแนะนำให้เดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวผาหมากดูก ระยะทางไป-กลับรวมประมาณ 5 กิโล ส่วนตัวผมคิดว่าคุ้มกับการเดิน วิวสองข้างเป็นต้นสนสวยๆ สูงๆ มีทางน้ำไหลเล็กๆ (ในฤดูฝน) ทางเดินเป็นดินปนทรายเดินสบายเท้า ไม่ค่อยมีน้องทาก ใส่รองเท้าแตะเดินได้ชิวๆ ครับ



เช้าวันแรกบนภูกระดึง
5.00 น. จนท.อุทยานจะประกาศออกลำโพง ให้นักท่องเที่ยวที่สนใจ จะเดินไปดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ให้มารวมตัวกันตรงศูนย์บริการ ห้ามเดินไปเองเด็ดขาด เพราะบางทีอาจจะไปเจอช้างป่ากลางทางได้ครับ (ช้างป่าบนภูกระดึงอันตรายมากนะครับทำเป็นเล่น เหยียบคนตายไปหลายคนแล้ว)
เมื่อนักท่องเที่ยวรวมกลุ่มได้แล้ว จนท.ก็จะนำฉายไปเดินพาไป เราเองก็ควรพกไฟฉายติดไปด้วยนะครับ เส้นทางที่เดินไปไม่มีไฟซักกะดวง ลำพังหวังพึ่งแสงจากไฟฉายของ จนท.คงไม่เพียงพอ ระยะทางเดินก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ไป-กลับราวๆ 4 กม. ส่วนตัวผมว่าคุ้มค่าที่จะตื่นและเดินมาดูครับ ยิ่งถ้ามาช่วงหน้าฝนมีโอกาสได้เจอทะเลหมอกที่อลังการสูงมาก




ที่สำคัญ เส้นทางจากวังกวางไปผานกแอ่นระหว่างทาง มีพันธุ์ไม้-ดอกไม้สวยๆ เยอะมากส่วนตัวผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพันธุ์ไม้ซักเท่าไหร่ แต่เห็นช่างภาพมารโครชอบมารุมถ่ายกันที่เส้นนี้ คิดว่าน่าจะคงหายากละมั้ง




เดินและเดิน
เมื่อเดินกลับมาจากดูพระอาทิตย์ที่ผานกแอ่นแล้ว ภูกระดึงจะมีเส้นทางให้เลือกเดินหลักๆ แบ่งเป็น 2 เส้น คือเส้นเดินไปชมน้ำตก และเส้นเดินไปชมวิวเลียบหน้าผา แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถเดินไปชมน้ำตกใกล้ๆ ก่อนแล้วค่อยเดินตัดไปเส้นชมหน้าผาได้นะครับ ซึ่งเป้าหมายของคนที่มาภูกระดึงส่วนใหญ่ในวันที่ 2 นี้ คือผาหล่มสัก รูปถ่ายตัวเองนั่งบนหินที่ยื่นออกไป มีฉากหน้าเป็นใบสน ฉากหลังเป็นท้องฟ้า เปรียบเหมือนใบ certificate ระดับ Advance บนภูกระดึง ถถถถ

การเดินทางไปผาหล่มสักมีอยู่ 3 วิธีครับ วิธีแรกคือเดินนนนนน เดินอย่างเดียว เดินเท่านั้น ไป-กลับเกือบ 20 กม. ถ้าแวะไปดูน้ำตกก่อนก็บวกเพิ่มไปอีก 2-6 กม. วิธีที่ 2 คือเช่าจักรยาน มีให้เลือกเยอะแยะ ราคาตั้งแต่ 2-400 บาท แต่ในหน้าฝนผมไม่ค่อยแนะนำครับ ทางเดินแฉะ ลื่นมาก ส่วนจะได้เข็นมากกว่าปั่นและอีกวิธีคือการ รอรถอีแต๊ก รถไถ นั่งไปกับ จนท. อันนี้แล้วแต่ดวงครับ นานๆ ผมจะเห็นวิ่งผ่านมาซักคันแล้วเดินต่อไปอีกซักนิด



ส่วนตัวแนะนำให้เดินครับ มาในหน้าฝนเราจะเจอกับทางเดินหมอกๆสวยๆ ต้นไม้เขียวๆ อากาศชื้นๆเย็น ๆ เส้นหน้าผามีร้านค้าตลอดทาง แต่ถ้าไปช่วงเปิดภูใหม่ๆ บางร้านอาจจะยังไม่เปิด เนื่องจากช่วงปิดภูบางร้านโดนช้างเจ้าถิ่นบุกมาพังร้าน ซ่อมแซมกันไม่ทัน แต่ไม่ต้องห่วงครับ ขอให้เดินทางไปถึงผาหล่มสัก มีของกินให้เลือกมากมาย



ผาหล่มสัก
หลังจากเดินชมหน้าผา ชมหมอก ชมนกชมไม้มาเรื่อยๆ ราวๆ 9กิโลนิดๆ เราก็มาถึงผาหล่มสัก เดินแบบไม่รีบแวะกินข้าวถ่ายรูป เที่ยงๆ ก็น่าจะถึง ที่ผาหล่มสักมีร้านกาแฟสดให้เลือก 2-3 ร้าน มีร้านดังที่คนแห่ไปกิน
แต่สำหรับผมแนะนำให้ลองเลือกทานร้านอื่นๆดูบ้างครับ อร่อยไม่แพ้ร้านดัง แน่นอนครับมาถึงผาหล่มสักสำหรับคนที่เดินเท้าควรนั่งพักยาวๆ ครับ เพราะเดียวเราต้องเดินกลับอีกเกือบ 10 โล หลายคนนั่งกันจนถึงเย็นรอชมพระอาทิตย์ตก แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการเดินกลับในตอนมืดๆ ถ้าไปวันหยุดไม่น่าจะมีปัญหา คงมีเพื่อนเดินกลับด้วยเยอะ แต่ถ้ามาวันธรรมดาไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่


ลงภูกระดึง
สำหรับท่านที่จะใช้บริการลูกหาบในขาลงแนะนำให้จองคิวล่วงหน้านะครับ และควรไปฝากของตั้งแต่ 7โมงเช้า ถ้าโชคดีอาจจะได้รับของที่ด้านล่างเร็วสุดประมาณบ่ายโมง ส่วนตัวผมชอบเดินลงตอนเช้าๆ คนน้อยไม่มีแดดเจอหมอกสวยๆ ตลอดทาง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนลงภูกระดึง คือไม้เท้าเนี่ยละครับ มันจะช่วยซับแรงกระแทกที่หัวเข่าได้ดีมากๆ ตอนขึ้นว่าเหนื่อยแล้ว ตอนลงผมว่าเหนื่อยกว่า 2 เท่า ยิ่งในหน้าฝนทางเละๆ ลื่นๆ
ต้องใช้ความระมัดระวังสูงมากครับ สำหรับท่านที่จองตั๋วรถทัวร์ควรเพื่อเวลาใว้ ซัก 4-5 ชม. ถ้าจองรอบบ่ายสองควรลงตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพื่อเวลาอาบน้ำอาบท่า ที่ด้านล่างอุทยาน และเพื่อเวลาใว้สำหรับรอรถสองแถว รถแดง เพื่อไปต่อรถทัวร์ที่ผานกเค้าด้วยนะครับ รถสองแถวถ้าคนไม่เต็มก็ไม่ยอมออก ถ้าเราไม่เหมา 300บาท


สำหรับค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ในการเดินภู 3 วัน 2 คืน
ค่ารถทัวร์ไป-กลับจากหมอชิต 1000 บาท
ค่ารถสองแถวไป-กลับ 100 บาท (ช่วงโควิด)
ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท
ค่ากางเต็นท์ 2 คืน 60 บาท
ค่าเช่าที่นอน หมอน ผ้าห่ม 2 คืน 120 บาท
ค่าอาหาร 8 มื้อ 700 บาท
ค่าขนม/ค่าน้ำ/ค่ากาแฟระหว่างทาง 500 บาท
รวม 2520 บาท โดยประมาณครับ (ของแบกเอง)
,,
ภูกระดึง แม้ไม่ใช่เส้นทาง Treaking ที่โหดที่สุด หรือสวยที่สุด แต่สำหรับผมมันเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีเสน่ห์มากที่สุด ไม่แปลกใจที่มีหลายคนมาซ้ำแล้วซ้ำอีก บางคนมาทุกปี ยังไงหากท่านไหนยังไม่เคยไป แนะนำให้ลองซักครั้งนะครับ